การคุมกำเนิดในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีให้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล แต่หลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ การคุมกำเนิดแบบถาวร และการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว โดยแต่ละวิธีก็จะให้ผลที่แตกต่างกันออกไป แต่ในที่นี่เราจะมากล่าวถึงวิธีคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ
ห่วงอนามัย หรือ ห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine Device : IUD) เป็นวิธีคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง มีผลข้างเคียงน้อย ปัจจุบันห่วงอนามัย แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ห่วงอนามัยชนิดเคลือบสารทองแดง และ ห่วงอนามัยชนิดเคลือบฮอร์โมนโพรเจสติน ห่วงอนามัยเป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ มีลักษณะเป็นรูปตัวที (T) มีขนาดประมาณ 3 เซนติเมตร ใช้วิธีใส่เข้าไปให้พอดีกับมดลูก ทำหน้าที่ป้องกันอสุจิเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ สามารถคุม กำเนิดได้นาน 3 - 10 ปี แล้วแต่ชนิดของห่วงคุมกำเนิด
ข้อดีของการใส่ห่วงอนามัย
- มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง โอกาสตั้งครรภ์น้อยกว่า 1:100
- มีอายุการใช้งานยาวนาน 3 - 10 ปี
- ไม่ต้องถูกฉีดยาทุก 3 เดือน ไม่ต้องกินยาทุกวัน (ในผู้ที่ไม่ต้องการใช้ฮอร์โมน)
- คุณสามารถตั้งครรภ์ได้ทันทีที่ต้องการ เมื่อเอาห่วงออก
ช่วงเวลาในการใส่ห่วงอนามัย
- ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและคุมกำเนิดได้ในระยะยาว
- ผู้ที่ต้องการเว้นช่วงการมีบุตรอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาฝังคุมกำเนิด
- ในระหว่างมีประจำเดือน หรือหลังจากเพิ่งหมดประจำเดือน
- 4-6 สัปดาห์หลังคลอดบุตร กรณีผ่าคลอดควรใส่ห่วงหลัง 8 สัปดาห์
- ในระหว่างที่มีการผ่าตัดเพื่อทำแท้ง
- หลังการร่วมเพศที่ไม่มีการป้องกัน (ใช้ห่วงแบบเคลือบทองแดง) เป็นการคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินอย่างหนึ่ง
ใครใช้ห่วงอนามัยได้บ้าง
ห่วงคุมกำเนิดเหมาะสำหรับผู้หญิงแทบทุกคน ทั้งวัยรุ่นและหญิงสาวที่ยังไม่เคยมีบุตร ห่วงแบบฮอร์โมนยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้หญิงที่ประจำเดือนมามากอีกด้วย
ใครที่ไม่ควรใช้ห่วงอนามัย
- ผู้ที่ทราบว่าเป็นภูมิแพ้ทองแดง
- มีประวัติของโรคนรีเวชของสตรี เช่น เป็นโรคมะเร็งมดลูกหรือมะเร็งปากมดลูก
- คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเสี่ยงติดเชื้อ
- คนที่เคยเป็น PID อุ้งเชิงกรานอักเสบภายใน 3 เดือน
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังใส่ห่วงอนามัย
- หลังใส่ห่วงอนามัย 1-3 เดือนแรก อาจมีอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือน และอาจมีเลือดออกกระปริดกระปรอย
- อาจมีตกขาว และอาจทำให้มีประจำเดือนมากขึ้น
ข้อปฏิบัติหลังการใส่ห่วงอนามัย
- ควรไปตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง
- ต้องเปลี่ยนห่วงอนามัยเมื่อหมดอายุการใช้งาน ประมาณ 5-10 ปี แล้วแต่ชนิดของห่วงอนามัย
- ควรตรวจสอบว่าด้ายของห่วงอนามัยยังอยู่ที่เดิมหลังการมีประจำเดือนหรือไม่ โดยการใส่นิ้วคลำสายห่วง
- ในช่วงมีประจำเดือน โปรดตรวจสอบผ้าอนามัยเพื่อสังเกตว่าห่วงอนามัยหลุดออกมาหรือไม่
อาการที่ต้องพบแพทย์
- ปวดท้องน้อยผิดปกติ
- ประจำเดือนผิดปกติ เช่น ไม่มา มากระปริดกระปรอย
- คลำไม่เจอสายห่วง หรือสายห่วงสั่นลงผิดปกติ
- ห่วงหลุดออกมาข้างนอก
- เป็นไข้ ไม่ทราบสาเหตุ
- เจ็บตอนมีเพศสัมพันธ์
การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์หรือพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ห้ามพยายามกระทำ หรือนำออกด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาได้
บทความทางการแพทย์ศูนย์สุขภาพสตรี